1. ยานยนต์ไร้คนขับ รถยนต์ที่สามารถตัดสินใจเองได้
เช่น วิ่งไปหาที่จอดรถด้วยตนเอง หรือวิ่งด้วยตนเองบนทางหลวงแต่ก็เชื่อว่ายุคแห่งยานยนต์ไร้คนขับเต็มรูปแบบ
2. ระบบควบคุมรถแทนผู้ขับขี่
ระบบนี้แม้จะดูคล้ายกับระบบยานยนต์ไร้คนขับ
แต่มันจะไม่ทำงาน จนกว่าเซนเซอร์ตรวจพบว่า
ผู้ขับขี่กำลังตัดสินผิดพลาด และมีแนวโน้มที่จะเกิด
อุบัติเหตุ ระบบจะสั่งงานหักล้างกับคำสั่งของผู้ขับขี่ทันที
3. การใช้ข้อมูลชีวภาพแทนกุญแจ
ระบบนี้จะทำให้การพกกุญแจรถเป็นเรื่องล้าสมัย
เพราะเพียงคุณแตะมือจับประตู รถก็จะรู้ทันทีว่าคุณ
เป็นเจ้าของรถผ่านทางลายนิ้วมือ ถ้าหากคุณใช้รถ
ร่วมกับผู้อื่น มันก็สามารถที่จะปรับเบาะที่นั่ง
กระจกมองหลัง มุมพวงมาลัยให้เข้ากับผู้ขับขี่
แต่ละคนได้ทันที
4. ระบบแกะรอยการวิ่งของรถ
ระบบนี้จะนำเอาข้อมูลรูปแบบการขับขี่ของเรา
ที่เก็บไว้ในหน่วยความจำของรถ เช่น ความเร็วที่ใช้
และระยะทางที่ขับขี่ในแต่ละวันมาใช้ในการวิเคราะห์
เพื่อประเมินราคาในการต่อประกันภัยรถยนต์
แม้จะใช้รถยนต์รุ่นเดียวกัน แต่ใครขับดี ขับแย่
ราคาประกันก็จะไม่เท่ากัน เพราะความเสี่ยงต่างกันนั่นเอง
5. ระบบออกเมนเทดเรียลิที
หรือกระจกหน้าแบบแอคทีฟ เรียกง่ายๆ ว่า เออาร์
คุณอาจจะเคยเห็นระบบนี้อยู่บ้างในสมาร์ทโฟน
ที่จอภาพจะแสดงภาพเสมือน ซ้อนทับไปกับภาพจริง
ที่ถ่ายออกมาจากกล้อง โดยระบบที่จะเข้ามาทำงาน
ในรถยนต์ มีหลากหลายแนวคิด อาทิ ระบบนำทาง
โดยใช้กระจกหน้าทั้งบาน ชี้เส้นทางซ้อนทับไป
กับวิวที่ตามองเห็น
6. ระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์จากระยะไกล
ระบบนี้ปัจจุบันเริ่มใช้งานแล้ว กับรถของค่าย จีเอม
ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรถจะถูกที่ติดตั้งระบบ ออนสตาร์
ทำให้ศูนย์ควบคุมสามารถรู้ว่ารถอยู่ที่ใด และสั่งดับเครื่องยนต์จากระยะไกลได้ ไม่ต่างจากที่สั่งระงับการใช้งานโทรศัพท์หากเกิดการโจรกรรม ต่อไปนี้คดีโจรกรรมรถยนต์
และการไล่ล่าด้วยความเร็วสูงของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะกลายเป็นอดีต
7. ระบบตรวจสอบสุขภาพผู้ขับขี่
ระบบนี้ริเริ่มโดย ฟอร์ด ในการติดตั้งอุปกรณ์
สำหรับตรวจสอบข้อมูลชีวภาพของร่างกาย
โดยติดตั้งไว้กับสายเข็มขัดนิรภัย และบนพวงมาลัย
ตรวจสอบการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ และจังหวะ
การหายใจ หากระบบตรวจสอบพบการทำงาน
ที่ผิดปกติเฉียบพลัน เช่น หัวใจวาย ก็จะสามารถ
พารถเข้าข้างทาง พร้อมเรียกหน่วยกู้ชีพที่
ใกล้ที่สุดทันที
8. ซูเพอร์คาร์ 4 สูบ
ยุคสมัยของการลดความจุ และการพัฒนาตัวถัง
น้ำหนักเบา ทำให้รถยนต์นั่งจะใช้เครื่องยนต์
ความจุน้อยลงเรื่อยๆ เครื่องยนต์ 3 สูบ
จะได้รับความนิยมมากขึ้นในรถยนต์คอมแพคท์
ในขณะที่รถยนต์ขนาดใหญ่ แต่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ
พ่วงเทอร์โบ กลายเป็นสิ่งสามัญมากขึ้น แต่สิ่งที่ยัง
ไม่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต คือ
ซูเพอร์คาร์ที่ทำความเร็วระดับ 300 กม./ชม.
โดยใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ซึ่งดูแล้วอาจจะเหลือเชื่อ
แต่ว่าเป็นไปได้เพราะรถไฮบริดอย่าง บีเอมดับเบิลยู
ไอ 8 นั้นใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.5 ลิตร แต่ทำความเร็ว
สูงสุดได้ถึง 250 กม./ชม.
9. การสื่อสารการตลาดส่งตรงถึงในรถ
ในยุคที่การเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบสื่อสาร ความเร็วสูง
กลายเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ประสานเข้ากับรูปแบบ
การจัดการของสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ที่ปรับ
ให้สอดคล้องกับตัวคุณ ดังที่เห็นจากการทำงานของ facebook และ google ที่เลือกจะนำเสนอข่าวสาร
และโฆษณาที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของ
แต่ละบุคคล ระบบเหล่านี้จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
ในยุคที่รถทุกคันมีจอภาพเพื่อแสดงข้อมูล
โดยข้อมูลนั้น จะแสดงให้เห็นกิจกรรมรอบๆ เส้นทาง
การเดินทางที่สอดคล้องกับรสนิยมของคุณ เช่น
หากขับผ่านห้างสรรพสินค้าก็จะมีข้อมูลว่าขณะนั้น
ทางห้างจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือมีกิจกรรมใดๆ
เกิดขึ้น
10. พลังงานไฟฟ้ากับรถคลาสสิค
เป็นกระแสที่เริ่มมีคนให้ความสนใจในยุโรป
ที่มีการคุมเข้มเรื่องมลภาวะ เป็นที่รู้กันว่าบรรดา
รถคลาสสิคนั้น เรื่องการควบคุมมลพิษไม่ใช่จุดแข็ง
แต่จุดแข็งนั้นอยู่ที่รูปทรงที่งดงาม เลยมีกระแส
การดัดแปลงเอาเครื่องยนต์เก่า ไร้ประสิทธิภาพออกแล้วแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่เงียบ และทรงพลังเข้าไปแทน
หากเทียบกับเครื่องยนต์ดั้งเดิมที่จุกจิก และไม่มีเรี่ยวแรง
แถมยังปล่อยมลภาวะมากมาย อาจจะถึงเวลาที่เราน่า
จะเอารถคลาสสิคมาทำให้ใช้งานได้ดีอีกครั้ง
ด้วยหัวใจใหม่ไฮเทค น่าจะดีไม่น้อย
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.autoinfo.co.th